กุหลาบ
เป็นไม้ดอกที่มีความสวยงามยากที่จะหาดอก
ไม้ชนิดอื่นมาเปรียบเทียบ ได้จนกระทั่งมีผู้ให้ฉายาว่า"ราชินีแห่ง
ดอกไม้" ดังนั้นกุหลาบจึงเป็นดอกไม้ที่ นิยมปลูกและใช้กันอย่าง
แพร่หลายทั้งใน และต่างประเทศ นอกจากนี้กุหลาบยังมีคุณ
สมบัติที่ดีเด่นอีกหลายประการ สามารถใชป้ ระโยชนไ์ ดก้ วา้ งขวาง
เช่น ใช้ เป็นไม้กระถาง ไม้ตัดดอก ตกแต่งสถานที่ ตลอดจนใช้
เป็นวัตถุดิบสำ หรับทำ เป็น นํ้ามันหอมระเหยและดอกไม้แห้ง ใน
การปลูกเป็นการค้าก็ยังได้เปรียบดอกไม้อีก หลายชนิดเป็นต้นว่า
สามารถควบคุมการออกดอกได้ง่ายซึ่งทำ ให้กำ หนดการออกดอก ให้ตรงกับเทศกาลทำ ให้สามารถจำ หน่ายได้ราคาดี และเนื่องจากกุหลาบเป็นดอกไม้ ที่นิยมของคนทั่วไป ดังนั้น จึงสามารถหาตลาดจำ หน่ายได้ง่ายกว่าดอกไม้อื่น ๆ นอกจากนี้กุหลาบที่ปลูกในประเทศไทยยังเจริญเติบโตได้ดีในฤดูหนาวซึ่งต่างกับ ประเทศในแถบยุโรปที่ต้องการหลาบมาก การจะปลูกกุหลาบในฤดูหนาวต้อง ปลูกในเรือนกระจก ทำ ให้เสียค่าใช้จ่ายสูงจึงส่งผลให้ดอกกุหลาบมีราคาแพง ดังนั้น ประเทศที่ปลูกกุหลาบได้ดีในฤดูหนาวจึงสามารถตัดดอกส่งไปขายในตลาดต่างประเทศได้ราคาดี
พันธุ์
กุหลาบที่ปลูกในประเทศไทยปัจจุบันนี้มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ซึ่งถ้าแบ่งออกโดยสังเขป จะได้ดังนี้
1. กุหลาบตัดดอกหรือไฮบริดที (Hybrid Tea หรือ HT) ปกติมักออก
ดอกเป็นดอกเดี่ยว มีขนาดโต กลีบดอกซ้อน พุ่มต้นตั้งตรงสูงประมาณ 1-2
เมตร กุหลาบที่มีขายทั่วไป ตามท้องตลาดขณะนี้มักจะเป็นกุหลาบประเภทนี้
อย่างไรก็ตาม พันธุ์ไฮบริดที นั้นมิได้ใช้ปลูกเป็นไม้ตัดดอกได้ดีทุกพันธุ์ ดังนั้น จำ
เป็นต้องคัดเลือกพันธุ์ให้เหมาะสมสำ หรับแต่ละท้องที่ ลักษณะที่เหมาะสม
สำ หรับจะใช้ เป็นพันธุ์สำ หรับตัดดอก คือ
1. แข็งแรง ต้นโต เลี้ยงง่ายและเจริญเติบโตได้ดี
2. ออกดอกสมํ่าเสมอไม่โทรมไวเมื่อถูกตัดดอกไปมาก
3. ทนต่อโรคและแมลงได้ดีพอสมควร
4. ลำ ต้นตั้งตรง ซึ่งจะทำ ให้ปลูกได้ชิดกันเป็นการประหยัดเนื้อที่
5. ให้กิ่งก้านยาวตรง มีหนามน้อย ใบงามสมดุลกับกิ่ง
6. ฟอร์มดอกดี ทรงดอกยาวแบบแจกันหรือปลายกลีบดอกแหลม
7. กลีบดอกไม่ซ้อนหนาเกินไปจนดอกบานไม่ออก
8. กลีบดอกหนา ทนต่อการบรรจุหีบห่อและขนส่ง
9. ดอกมีสีสะดุดตาและไม่เปลี่ยนสีเมื่อดอกโรย
10. ไม่เหี่ยวเฉาง่ายหลังจากตัดแล้ว
11. ดอกมีกลิ่นหอม (ถ้าเป็นไปได้)
ปัจจุบันกุหลาบที่นิยมปลูกเป็นไม้ตัดดอกในประเทศไทย มีอยู่มากมายหลายพันธุ์ แต่พันธุ์ที่กรม
ส่งเสริมการเกษตรแนะนำ ให้ปลูก มีดังนี้
- พันธุ์ดอกสีแดง ได้แก่ พันธุ์บราโว. เรดมาสเตอร์พีช, คริสเตียนดิออร์, โอลิมเปียด, นอริค้า,
แกรนด์มาสเตอร์พีช, ปาปามิลแลนด์, เวก้า
- พันธุ์ดอกสีเหลือง ได้แก่ พันธุ์คิงส์แรนซัม,ซันคิงส์, เฮสมุดสมิดท์, นิวเดย์ โอรีโกลด์ และเมลิลอน
- พันธุ์ดอกสีส้ม ได้แก่ พันธุ์ซันดาวน์เนอร์, แซนดรา, ซุปเปอร์ส
ตาร์หรือทรอพปิคานา
- พันธุ์ดอกสีชมพู ได้แก่ พันธุ์มิสออลอเมริกาบิวตี้ หรือมาเรีย,
คาสลาส, ไอเฟลทาวเวอร์,สวาทมอร์, เฟรนด์ชิพ, เพอร์ฟูมดีไลท์, จูวังแซล,
เฟิร์สท์ไพรซ์, อเควเรียส, ซูซานแฮมเชียร์
- พันธุ์ดอกสีขาว ได้แก่ พันธุ์ไวท์คริสต์มาส เอทีนา
- พันธุ์ดอกสีอื่นๆ ได้แก่ พันธุ์แยงกี้ดูเดิ้ล, ดับเบิ้ลดีไลท์, เบลแอนจ์
นอกจากนี้ยังมีกุหลาบสำ หรับเด็ดดอกร้อยพวงมาลัย เช่น กุหลาบพันธุ์ฟูซิเลียร์ ซึ่งมีดอกสีส้ม
2. กุหลาบพวง หรือ ฟลอริบันด้า ( Foribunda หรือ F.) กุหลาบพวงมีความแข็งแรงทนทานกว่า
กุหลาบตัดดอก ออกดอกดกแต่ดอกไม่ใหญ่เท่ากับกุหลาบตัดดอกแต่มีครบทุกสี และออกดอกเป็นช่อทีละหลาย ๆ ดอก จึงนิยมเรียกว่ากุหลาบพวง และมักบานพร้อมกัน ดอกมีขนาดเล็ก พุ่มต้นตั้งตรงสูง ประมาณครึ่งเมตรถึง 1 เมตร เหมาะสมที่จะปลูกในแปลงประดับและในกระถางเช่น พันธุ์ฟูซีเลียร์, พันธุ์แองเจลเฟส
3. ประเภทแกรนดิฟลอร่า (Grandiflora หรือ Gr. ) กุหลาบประเภทนี้เป็นกุหลาบลูกผสมระหว่าง
กุหลาบตัดดอก และกุหลาบพวง มีลักษณะเป็นดอกเดี่ยว แต่ดอกเล็กกว่ากุหลาบตัดดอก มีก้านยาว ต้นโต สูงและแข็งแรง เช่น พันธุ์คาเมล็อท, พันธุ์คาเสทไนท์
4. กุหลาบ หรือ มินิเอเจอร์ (Miniature หรือ Min.) เป็นกุหลาบที่มีขนาดพุ่มต้นเล็ก สูง 1- 2 ฟุต
ออกดอกเป็นพวงและดอกมีขนาดเล็ก นิยมปลูกประดับแปลง และใช้เป็นไม้กระถาง เช่น พันธุ์เบบี้ มาสเคอร์เหรด
5. กุหลาบเลื้อย หรือ ไคลมเบอร์ (Climher หรือ Cl.) กุหลาบชนิดนี้ลำ ต้นสูงตรง นำ ไปเลื้อยพันกับ
สิ่งต่าง ๆ ได้ดอกมีทั้งเป็นดอกขนาดใหญ่ และดอกเป็นพวง เช่น พันธุ์ดอนจวน, พันธุ์ค็อกเทล
6. ประเภทโพลีแอนท่า (Polyantha หรือ Pol.) เป็นกุหลาบลูกผสมระหว่างพันธุ์โรซ่า มัลติฟอร่า
กับ โรซ่า ไชเนนซิสมีขนาดพุ่มต้นเตี้ย แข็งแรงและทนทานมาก ออกดอกเป็นพวงคล้ายกุหลาบพวง ลักษณะดอกและต้นคล้ายกุหลาบหนูแต่จะแตกต่างกับกุหลาบหนูตรงที่กุหลาบโพลีแอนท่าจะมีหูใบที่มีลักษณะของพันธุโรซ่า มัลติฟลอร่า กุหลาบประเภทนี้ เช่น พันธุ์วายวอน ราเบีย
7. ประเภทแรมเบลอร์ (Rambler หรือ R) มีลำ ต้นยาวและอ่อนโค้งออกดอกเป็นพวง และดอกมี
ขนาดเล็ก เช่น พันธ์ไดโรที เปอร์กิน
8. กุหลาบพุ่ม หรือซรับโรส (Shrub หรือ S.) ได้แก่กุหลาบพันธุ์ป่าหรือลูกผสมของพันธุ์ป่า ซึ่งมี
ทรงต้นเป็นพุ่ม ออกดอกเป็นช่อ ดอกมีขนาดเล็กส่วนมากมีกลีบชั้นเดียว เช่น พันธ์โรซ่า นิติด้า, โรซ่า
มัลติฟลอร่า, โรซ่า รูโกซ่า
การเ้ตรียมดินปลูก
ถึงแม้กุหลาบจะปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิด แต่ดินที่ต่างกันก็ย่อมทำ ให้ การเจริญเติบโตดีเลวต่างกัน
ออกไป ดังนั้นก่อนปลูกควรเตรียมดินดังนี้
ในภาคกลางซึ่งมีสภาพดินค่อนข้างเหนียว และค่อนข้างเป็นกรดจัด ระดับนํ้าใต้ดินสูง เกษตรกร
ผู้ปลูกกุหลาบจะนิยมปลูกแบบร่องสวน ซึ่งมีคูนํ้าคั่นกลาง โดยเริ่มเตรียมดินในฤดูแล้ง คือ จะต้องฟันดินและตากดินให้แห้งเพื่อกำ จัดวัชพืช ก่อนในขณะที่ตากดินนี้อาจโรยปูนขาวลงไปด้วยก็ได้ เมื่อดินแห้งดีแล้วจึงกลับหน้าดิน และชักดินในแต่ละแปลงให้มีขอบสูง ตรงกลางเป็นแอ่งเล็กน้อย ขนาด ของแปลงกว้างและยาวตามพื้นที่เดิมที่เคยปลูกผักมาแล้ว การวางระยะห่างของ ต้นที่จะปลูกอาจใช้ระยะ 50 x 50 เซนติเมตร จำ นวนแถวในแต่ละแปลงไม่ควร เกิน 3 แถว เพื่อความสะดวกในการตัดดอกและตัดแต่งกิ่งตรงแถวกลาง สำ หรับในภาคอื่นที่มีสภาพดินค่อนข้างร่วนหรือดินร่วนปนทราย อาจ ปลูกแบบเจาะหลุมปลูกหรือแยกแปลงปลูกก็ได้โดยวัดขนาดแปลงปลูกกว้าง 1 .20 เมตร เว้นทางเดิน 1 เมตร ความยาวของแปลงปลูกตามขนาดของพื้นที่และใช้ ระยะปลูก 60 x60 เซนติเมตร ซึ่งจะได้จำ นวนต้นประมาณ 2,000 ต้นต่อไร่ (หรือ ทำ แปลงปลูกกว้าง 1เมตร เว้นทางเดิน 1 เมตร และใช้ระยะปลูก 50 x 50 เซนติเมตร สำ หรับพันธุ์กุหลาบที่ขนาดของทรงพุ่มไม่แผ่กว้างมากนัก) ก่อนปลูก ควรหว่านปูนขาวและไถพรวนตากดินไว้ให้แห้ง
กุหลาบสามารถปลูกได้ทั้งในดินที่เป็นกรดหรือด่าง แต่เจริญได้ดีในดิน ที่ค่อนข้างเป็นกรดเล็กน้อย
คือมี pH ประมาณ 4.5-6.5 ถ้าดินเป็นกรดมากให้เติม ปูนขาว 60-100 กิโลกรัมต่อ 100 ตารางวา แต่ถ้า
ดินเป็นด่างก็ใส่กำ มะถันผง 20-50 กิโลกรัมต่อ 100 ตารางวา เมื่อเตรียมแปลงปลูกเรียบร้อยแล้ว ให้ขุด
หลุม ปลูกกว้างและลึก 30 x 30 เซนติเมตร (ถ้าเตรียมหลุมปลูกกว้างและลึกกว่านี้ จะ เป็นการดียิ่งขึ้น) จากนั้นก็จะใส่ปุ๋ยคอก เช่น ขี้เป็ด ขี้ไก่ ขี้วัว ฯลฯ ประมาณหลุมละ 1 บุ้งกี๋ ใส่ปุ๋ยซุปเปอร์ฟอสเฟต หรือกระดูกป่นเป็นปุ๋ยรองก้นหลุม ๆ ละ 1 กำ มือ คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วจึงนำ กิ่งพันธุ์กุหลาบซึ่งอาจจะเป็นกิ่งตอนหรือต้นติดตา ลงไปปลูก กลบดินที่โคนต้นให้กระชับและรดนํ้าให้ชุ่ม
การขยายพันธุ์กุหลาบ
การขยายพันธุ์กุหลาบที่นิยมใช้มี 3 วิธี คือ1. การตัดชำ
วิธีการตัดชำ ที่นิยมทำ อยู่ทั่วไป คือ เลือกกิ่งกุหลาบที่ไม่แก่และไม่อ่อน จนเกินไปนำ มาตัดเป็นท่อน
ประมาณ 12-15 เซนติเมตร หรือ 1 คืบ รอยตัดต้อง อยู่ใต้ข้อพอดีแล้วตัดใบตรงโคนกิ่งออก จากนั้นเฉือนโคนทิ้ง แล้วจุ่มโคนกิ่งตัดชำ นี้ ในฮอร์โมนเร่งราก เซ่น เซอราดิกส์ เบอร์ 2 (เพื่อช่วยเร่งให้ออกรากเร็วขึ้น)แล้วผึ่งให้แห้งนำ ไปปักชำ ในแปลงพ่นหมอกกลางแจ้ง ถ้าไม่มีแปลงพ่นหมอกก็ใช้เครื่องพ่นนํ้ารดสนามหญ้าก็ได้แล้วให้นํ้าเป็นระยะๆ ตามความจำ เป็นโดยมีหลักว่าอย่าให้ใบกุหลาบแห้ง กิ่งกุหลาบจะออกรากใน12-15 วัน แล้วแต่พันธุ์ การชำ กิ่งนี้ นิยมทำ กันมากในปัจจุบันเพราะได้จำ นวนต้นมากในระยะเวลาสั้น เสียค่าใช้จ่ายน้อย แต่กิ่งชำ นี้เมื่อนำ ไปปลูกต้นจะโทรมเร็วภายใน 3- 4 ปี ซึ่งกุหลาบพันธุ์สีเหลือง และสีขาวมักจะออกรากยาก
2. การตอน
กิ่งที่ใช้ตอนมักมาจากกิ่งที่มีสภาพแตกต่างกันทั้งกิ่งอ่อนและกิ่งแก่ คละกันไปทำ ให้การเจริญเติบโต
ของต้นกุหลาบหลังลงแปลงปลูกในแปลงไม่สมํ่าเสมอ ซึ่งการตอนนี้จะใช้เวลาในการเกิดราก นานประมาณ4-7 สัปดาห์ ทั้งนี้แล้วแต่พันธุ์ที่จะใช้ตอน
3. การติดตา
วิธีการทำ ต้นกุหลาบติดตานี้ค่อนข้างยุ่งยากและต้องใช้เวลาในการทำ นานกว่า 2 วิธีแรก คือ ตั้งแต่
ตเริ่มตัดชำ ต้นตอป่าจนถึงพันธุ์ดีทีนำ ไปติดนั้นออก ดอกแรกจะใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน โดยในขั้นแรกจะต้องตัดชำ ต้นตอป่า (ของกุหลาบป่า) ให้ออกราก และเลี้ยงต้นตอป่านั้นให้แตกยอดใหม่ยาวเกิน 1 ฟุตขึ้นไปซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน (หลังตัดชำ และออกราก) จากนั้นจึงนำ ตาพันธุ์ดีที่ต้องการไปติดตาที่บริเวณโคนของต้นตอป่า การติดตานี้จะต้องอาศัยฝีมือและความชำ นาญพอสมควร โดยจะใช้วิการติดตาแบบใดก็ได้เช่น แบบตัวที เป็นต้น
การให้น้ำกุหลาบ
16-18 นิ้วและอาจเว้นระยะการรดนํ้าได้คือ ไม่จำ เป็น ต้องรดนํ้าทุกวัน (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพดินปลูก) มีข้อควรจำ อย่างยิ่งในการรดนํ้า กุหลาบคือ อย่ารดนํ้าให้โดนใบเนื่องจากโรคบางโรคที่อยู่ตามใบหรือกิ่งจะแพร่ระบาด กระจายไปได้โดยง่าย การให้นํ้าก็ไม่ควรให้นํ้ากระแทกดินปลูกแรงๆ เพราะเม็ดดิน จะกระเด็นขึ้นไปจับใบกุหลาบ ทำ ให้เชื้อโรคบางชนิดที่อาศัยอยู่ในดินระบาดกลับ ขึ้นไปที่ต้นโดยง่ายและถ้าจำ เป็นจะต้องรดนํ้าให้เปียกใบควรจะรดนํ้าในตอนเช้า
การใส่ปุ๋ย
ในระยะแรกของการปลูกจะเป็นระยะที่ต้นกุหลาบเจริญเติบโตสร้างใบ และกิ่ง ควรใส่ปุ๋ยเคมีที่มีสูตร
ตัวแรกคือไนโตรเจนสูง โดยใส่ทุก 15 หรือ 30 วัน อัตราการใส่ 1 กำ มือต่อต้น ก่อนใส่ปุ๋ยควรมีการพรวน
ดินตื้นๆ อย่าให้กระทบรากมากนัก แล้วโรยปุ๋ยให้รอบๆ ต้นห่างจากโคนต้น 4-6 นิ้ว แล้วแต่ขนาดของทรง
พุ่ม จากนั้นก็รดนํ้าตามให้ซุ่ม (แต่อย่ารดนํ้าจนโชก) เมื่อกุหลาบเริ่มให้ดอก ควรใช้ปุ๋ยเคมีที่มีฟอสฟอรัสและโปแตสเซี่ยมสูงควบคู่กันไป เพื่อเร่งการออกดอกและทำ ให้ก้านดอกแข็งแรง นอกจากนี้อาจจะให้ปุ๋ยทางใบเพิ่มเติมก็จะเป็นการดี ข้อควรระวังในการใส่ปุ๋ย หลังจากปลูกแล้ว คือ ควรโรยปุ๋ยให้กระจายรอบๆ ต้น อย่างสมํ่าเสมออย่าใส่เป็นกระจุกๆ ที่จุดใดจุดหนึ่ง เพราะอาจทำ ให้เกิดความเสียหายต่อต้นกุหลาบได้ เนื่องจากมีความเข้มข้นของปุ๋ยตรงจุดที่ใส่มากเกินไป
การป้องกันกำจัดวัชพืช
อาจจะใช้แรงงานคนเก็บถอนหรือใช้สารเคมีกำ จัดวัชพืชซึ่งมีทั้งชนิดคุม กำ เนิดและชนิดที่ถูกทำ ลาย
ต้นตาย (อัตราการใช้จะระบุอยู่ที่ฉลากของขวด) ข้อควรระวังในการใช้สารเคมีเพื่อกำ จัดวัชพืชนี้ คือ พยายามหลีกเลี่ยงที่จะฉีดพน่ สารให้ถูกต้นหรือใบกุหลาบ และห้ามนำถังที่ใช้ฉีดพ่นสารเคมีกำจัดวัชพืช ไปใช้ร่วมกับถังที่ใช้พ่นยากำจัดศัตรูพืช
การคลุกดินแปลงปลูก
เนื่องจากกุหลาบเป็นพืชที่ต้องการแสงแดดจัดอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง ดังนั้น สถานที่ปลูกกุหลาบ
จึงต้องเป็นที่โล่งแจ้งและจะต้องมีความชื้นสูงด้วย การคลุมแปลงปลูกจึงเป็นสิ่งจำ เป็นส่าหรับการปลูกกุหลาบโดยใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นนั้นๆ เซ่น หญ้าแห้ง ฟาง เปลือกถั่วลิสง ซังข้าวโพด ชานอ้อย ขุยมะพ้าว แกลบ และขี้เลื่อย เป็นต้น ควรจำ ไว้ว่าวัสดุที่จะนำ มาคลุมแปลงปลูกนี้ ควรเป็นวัสดุที่เก่า คือ เริ่มสลายตัวแล้วมิฉะนั้นจะทำ ให้เกิดการขาดไนโตรเจนกับต้นกุหลาบ ดังนั้น ถ้าไซ้วัสดุที่คลุมแปลงค่อนข้างใหม่ควรเติมปุ๋ยไนโตรเจนลงไปด้วย การคลุมแปลงนี้นอกจากจะช่วยรักษาความชื้นและอุณหภูมิ รวมทั้งเพิ่มความโปร่งของดิน และเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดินในแปลงปลูกแล้วยังช่วยป้องกันวัชพืชให้ขึ้นช้าอีกด้วย
การตัดดอกกุหลาบ
การตัดดอกกุหลาบเพื่อจำ หน่ายนั้น ควรให้มีกิ่งเหลืออยู่อย่างน้อย 2 กิ่ง เสมอ (กิ่งที่มีใบย่อยครบ 5
ใบ) ไม่ควรตัดชิดโคนกิ่ง และเมื่อตัดดอกออกจาก ต้นแล้วให้รีบแช่ก้านดอกในนํ้าทันทีเพื่อป้องกันการสูญเสียนํ้าจากกิ่ง โดยทั่วไป เกษตรกรนิยมตัดดอกในตอนบ่ายและเย็น หรืออาจตัดในตอนเช้าก็ได้ (เพื่อจะได้ส่งตลาดทันเวลา) แต่เนื่องจากดอกกุหลาบมีอายุการใช้งานสั้นและกลีบดอกก็ชํ้าได้ง่าย ฉะนั้น การตัดดอกกุหลาบในช่วงที่ยังไม่เหมาะสมจะทำ ให้เกิดปัญหาได้ เช่น ถ้าตัดดอกตูมเกินไป ดอกก็จะไม่บานและคอดอกจะโค้งงอง่าย แต่ถ้าตัดดอกที่บานเกินไป ดอกกุหลาบจะบานเร็ว และมีอายุการปักแจกันสั้น
โรคและแมลงศัตรูกุหลาบ
โรคใบจุด เกิดจากเชื้อรา มีลักษณะอาการเป็นจุดดำ กลมบนใบ ส่วนใหญ่จะเป็นกับใบแก่จะทำ ให้
ใบเหลืองและร่วงในเวลาต่อมา บางครั้งถ้าเป็นมากอาจ ลุกลามมาที่กิ่งด้วย ระบาดมากในฤดูฝน ควรป้องกัน
โดยฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น ดูปราวิท ไดเทนเอ็ม-45 แคปแทน เบนเสทและเบนโนมิล
2. โรคราแป้ง เกิดจากเชื้อรา โรคนี้จะเป็นกับยอดอ่อนและ ดอกอ่อน มีลักษณะเป็นปุยขาวคล้าย
แป้งทำ ให้ส่วนของพืชที่เป็นโรคนี้เกิดอาการหงิกงอไม่เจริญเติบโตต่อไป ระบาดมากในฤดูหนาว ควรป้องกัน
โดยฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น เบนเสท ดาโคนิล และคาราแทน
3. โรคหนามดำ เกิดจากเชื้อราโดยเชื้อรานี้จะเข้าทำ ลายแผล ที่เกิดจากรอยตัดหรือเด็ดหนามของ
กิ่งอ่อนแล้วลุกลามไปเรื่อยๆ ตามกิ่งก้าน ทำ ให้กิ่งก้านเหี่ยวแห้งตายไปในที่สุด ควรป้องกันโดยทาแผลจาก
รอยตัดด้วยปูนแดง
4. โรคใบจุดสีนํ้าตาลหรือโรคตากบ เกิดจากเชื้อรา มีลักษณะอาการเป็นจุดกลมสีนํ้าตาลขนาด
1/4 นิ้ว แล้วจะเปลี่ยนเป็นวงกลมสีเทามีขอบสีม่วง-แดง ระบาดมากในฤดูฝน ควรป้องกันโดยใช้สารเคมีเบน
เสทไดเทนหรือแบนแซดดี
5. โรคไวรัส เกิดจากเชื้อไวรัส ลักษณะอาการจะปรากฎให้เห็นที่ใบ โดยใบจะด่างเหลือ เมื่อพบว่า
ต้นกุหลาบเป็นโรคนี้ให้ถอนและเผาทำ ลายเสีย
หนอนและแมลงชนิดต่างๆ
1. หนอนเจาะดอก เป็นหนอนผีเสื้อกลางคืนขนาดเล็กซึ่งจะวางไข่อยู่ที่กลีบดอกด้านนอก เมื่อไข่ฟัก
ออกเป็นตัวจะกัดกินดอกและอาศัยอยู่ในดอก ระบาดมากช่วงที่กุหลาบให้ดอกดก หรือในช่วงฤดูหนาว ควรป้องกันโดยใช้สารเคมี ประเภทดูดซึม เช่น ดิลดริน ฟอสดริน
2. หนอนกินใบ เป็นหนอนของผีเสื้อกลางคืน มักวางไข่อยู่ใต้ใบ เมื่อไข่ฟักเป็นตัวหนอนก็จะทำ ลาย
ใบที่อาศัย บางชนิดทำ ลายเฉพาะผิวเนื้อใต้ใบทำ ให้ใบมีลักษณะโปร่งใสมองเห็นได้ชัดเจน สารเคมีที่ใช้ได้ผลดีเช่น เอนดริน
3. หนอนเจาะต้น เป็นหนอนของผึ้งบางชนิดและหนอนของแมลงวันบางชนิด อาจจะเป็นหนอนของ
พวกต่อแตนด้วย หนอนชนิดนี้จะเจาะกินไส้กลาง และบริเวณท่อนํ้าของกิ่งหรือต้น ทำ ให้กิ่งและต้นแห้งตายควรป้องกันกำ จัด โดยการตรวจดูบริเวณรอยต่อระหว่างกิ่งแห้งและกิ่งดี หากพบตัวหนอนก็ทำ ลายเสีย หรือป้องกันโดยการตัดแต่งกิ่งตามกำ หนด
4. แมลงปีกแข็ง บางทีเรียกด้วงปีกแข็ง มีทั้งชนิดตัวสีดำ และสีนํ้าตาล ขนาดประมาณ 1.5-2
เซนติเมตร ออกหากินในเวลากลางคืนระหว่าง 1-3 ทุ่ม โดยการกัดกินใบกุหลาบ ส่วนในเวลากลางวันจะ
ซ่อนตัวอยู่ตามกอหญ้า ป้องกัน โดยใช้สารเคมี เช่น คลอเดน หรือ เซพวิน
5. ผึ้งกัดใบ จะกัดกินใบกุหลาบในช่วงเวลากลางวัน สังเกตได้ที่รอยแผลมักจะเป็นรอยเหมือนถูก
เฉือนด้วยมีดคมๆ เป็นรูปโค้งป้องกันได้เช่นเดียวกับแมลงปีกแข็ง
6. เพลี้ยไฟ เป็นแมลงปากดูด มีสีนํ้าตาลดำ ตัวอ่อนสีขาวนวลจะดูดกินนํ้าเลี้ยงจากใบและดอก
ทำ ให้ดอกที่ถูกทำ ลายไม่บาน ระบาดมากในฤดูร้อน ป้องกันโดยการฉีดพ่นด้วยสารเคมี เช่น โตกุไทออน คลอเดนหรือนิโคตินซัลเฟต
7. เพลี้ยแป้ง เป็นแมลงปากดูดมักเกาะกินตามใบอ่อนหรือง่ามใบ ทำ ให้ใบหงิกงอ ควรป้องกันกำ จัด
โดยใช้สารเคมีกำ จัดแต่ต้องผสมสารเคลือบใบลงไป ด้วยเพราะบนตัวเพลี้ยแป้งจะมีขนปุยสีขาวปกคลุม ซึ่งมีลักษณะเป็นมันจับนํ้าได้ยาก
8. เพลี้ยหอย เป็นแมลงปากดูด มักเกาะทำ ลายโดยดูดนํ้าเลี้ยงจากลำ ต้น จะสังเกตเป็นเป็นจุดสีนํ้า
ตาลอยู่บนกิ่งของกุหลาบ เพลี้ยหอยนี้มีลักษณะพิเศษ คือ ตัวของมันจะมีเปลือกหุ้มหนาทำ ให้แมลงซึมเข้าถึงตัวได้ยาก ฉะนั้นวิธีกำ จัดที่ได้ผลดีก็คือ ใช้นํ้ามันทาหรือฉีดพ่นเคลือบตัวมันไว้ ทำ ให้เพลี้ยไม่มีทางหายใจ และตายในที่สุด แต่เมื่อเพลี้ยตายแล้วจะไม่หลุดจากลำ ต้นจะยังติดอยู่ที่เดิม
9. เพลี้ยอ่อน เป็นแมลงปากดูด ทำ ลายพืชตรงบริเวณส่วนที่เป็นยอดอ่อนและใบอ่อน ทำ ให้ใบเหลือง
และร่วงหล่น ควรป้องกันกำ จัดโดยใช้สารเคมี เช่น ฟอสดริน เอนดริน และพาราไธออน เป็นต้น
10. แมงมุมแดง เป็นแมงชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่แมลง ตัวมีขนาดเล็กมากเห็นเพียงจุดสีแดงอยู่ตามใต้ใบ
โดยจะเกาะและดูดนํ้าเลี้ยงจากใบที่ถูกทำ ลายนั้น ปรากฏเป็นจุดสีเหลืองซึ่งมองเห็นได้บนหลังใบ สำ หรับสารเคมีที่ใช้กำ จัดได้ผลคือ เคลเทน
การปลูกเลี้ยงกุหลาบสำหรับผมนั้น ต้องคอยเอาใส่ในรายละเอียดต่างๆ เราต้องคอยดูอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีโรคและแมลงศัตรูที่แตกต่างกันไปบ้างนะคัรบบบ สภาพดินฟ้าอากาศก้อมีผลต่อการเจริญเติบโตด้วยเช่นกัน สำหรับท่านที่ปลูกเลี้ยงในกระถาง เวลารดน้ำ พยายามให้ช่มนะคับ แต่อย่าให้แฉะเกินไป เพราะจะนำมาซึ่งโรคต่างๆได้เช่นกัน และไม่ควรรดให้น้ำให้ถูกใบกุหลาบจะดีที่สุดคัรบผม


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น